เพราะในยุคเศรษฐกิจข้าวยากหมากแพงนี้การประหยัดค่าใช้จ่ายให้มากที่สุดเป็นเรื่องที่ต้องทำเป็นอันดับแรกๆ เลยก็ว่าได้ อันไหนประหยัดได้ก็ต้องประหยัด โดยเฉพาะการดูแลรักษารถยนต์ซึ่งต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากอยู่พอสมควร โดยเราอาจจะเริ่มจากการดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์ก่อน เพราะเป็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่มีราคาค่อนข้างแพงและสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ดังนั้นเราจึงอยากให้แบตเตอรี่อยู่คู่กับรถยนต์ของเราไปนานๆ

เพื่อป้องกันไม่ให้แบตเตอรี่เสื่อมก่อนเวลาที่กำหนด วิธีการดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์  ก็มีวิธีง่ายๆ ดังนี้ คือต้องหมั่นทำความสะอาดสายไฟทั้งขั้วบวกและขั้วลบโดยการใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดให้ทั่วอยู่เสมอ จากนั้นจึงทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่และทาด้วยวาสลีนบ่อยๆ เพื่อป้องกันคราบเกลือ แต่ถ้าหากเกิดคราบเกลือขึ้นแล้ว เราอาจใช้น้ำร้อนราดลงไปเพื่อกำจัดคราบเกลือ หากเราใช้แบตเตอรี่แบบเปียกก็ไม่ควรเติมน้ำกลั่นให้ต่ำกว่าขีดที่กำหนดหรือสูงเกินไป ซึ่งการเติมสูงเกินกำหนดนี่เองที่เป็นสาเหตุให้เกิดคราบเกลือได้ และที่สำคัญไม่ควรให้น้ำกรดอยู่ต่ำกว่าขีดสุดท้าย
และในขณะที่มีอากาศเย็นไม่ควรใช้กระแสไฟฟ้ามากเกินไปเพราะประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ในช่วงนี้จะต่ำลงมาก และการใช้กระแสไฟเกินกำลัง อาทิเช่น ต่อพ่วงเครื่องเสียงมากเกินไป ใช้แบตเตอรี่เกินกำลัง เป็นต้น ดังนั้นเราก็ควรเลือกแบตเตอรี่รถยนต์ให้มีความจุพอดีกับกระแสไฟของรถยนต์เรา เพื่อไม่ให้แบตเตอรี่กินกำลังไฟมากจนเกินไป
สุดท้ายนี้เพื่อเพิ่มอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ เราควรตรวจเช็คดูแลทำความสะอาดแบตเตอรี่อย่างน้อยๆ เป็นประจำทุกสัปดาห์

สวัสดีครับทุกท่านหากใครที่ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับกระเป๋าผ้าที่ผมเขียนมาโดยตลอดคงพอจะทราบดีว่าผมนั้นมักจะแนะนำให้เลือกใช้กระเป๋าผ้าที่มีราคาถูกมากกว่าราคาแพงอีกทั้งยังแนะนำให้เปลี่ยนกระเป๋าผ้าบ่อยๆ อีกด้วยซึ่งสาเหตุที่ต้องทำเช่นนั้นผมเองได้เคยอธิบายไปก่อนหน้านี้แล้วแต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่เก็ตหรือเพิ่งเข้ามาอ่านใหม่ๆจึงยังไม่รู้ว่าเหตุใดผมจึงแนะนำเช่นนั้นดังนั้นในวันนี้ผมขออนุญาตอธิบายให้ฟังกันอีกครั้งหนึ่งนะครับถึงสาเหตุที่ผมแนะนำให้ใช้กระเป๋าผ้าราคาถูกและเปลี่ยนกระเป๋าผ้าบ่อยๆ
สาเหตุที่ผมแนะนำให้แฟนานุแฟนหรือคุณผู้มีอุปการะคุณของผมใช้กระเป๋าผ้าที่ราคาไม่สูงมากนั้นก็เนื่องมาจากว่ากระเป๋าผ้าส่วนใหญ่นั้นมักทำมาจากเนื้อผ้าที่ราคาไม่แพงมากและไม่ทนทานดังนั้นสนนราคาของมันจึงไม่ควรที่จะมีราคาสูงส่วนเหตุผลอีกประการหนึ่งที่ผมให้เปลี่ยนกระเป๋าผ้าบ่อยๆ นั้นก็เพราะว่าความไม่ทนทานของมันนั่นเองครับซึ่งหากเราซักแรงๆ เพียงแค่ 1-2 ครั้งเจ้ากระเป๋าของเราก็ชำรุดขาดวิ่นเสียหายได้ดังนั้นหากเป็นกระเป๋าผ้าที่ราคาไม่แพงแล้วล่ะก็เราก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาซักโดยเมื่อใช้ไปสักระยะหนึ่งเราก็สามารถทิ้งและเปลี่ยนใบใหม่ได้โดยไม่ต้องเสียดายเงินครับ
เอาล่ะครับอธิบายมาขนาดนี้แล้วผมเชื่อว่าคราวนี้ทุกท่านคงหมดข้อสงสัยแล้วนะครับว่าเหตุใดผมจึงแนะนำเช่นนี้แล้วพบกันใหม่ในบทความตอนหน้าครับ สวัสดีครับ

มีคนถามผมหลังไมค์มากว่าหากจะไปเที่ยวบางแสนประมาณว่าไปเล่นน้ำ ไหว้พระและชมธรรมชาติแบบอื่นๆไป ด้วยในคราวเดียวกันจะเลือกที่พักแบบไหนดีจึงจะครอบคลุมทุกกิจกรรมการท่องเที่ยวตามที่ตั้งใจซึ่งในเรื่องนี้นั่นต้องบอกว่าสถานที่พักบางแสนที่ครบวงจรการท่องเที่ยวแบบนี้หายากครับแต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถของผมไปได้ ดังนั้นผมจึงได้พยายามดูสถานที่พักบางแสนแทบทุกที่แล้วมาวิเคราะห์ ประมวลผลจนได้สถานที่พักบางแสนตามโจทย์ที่ถามกันมาครับ
จากการสำรวจและวิเคราะห์ของผมนั้นได้ข้อสรุปมาว่าหากอยากได้แบบทัวร์ครบวงจรเช่นนั้นให้เลือกที่พักหรือหาที่พักใกล้แหล่งธรรมชาติอื่นๆ เช่นป่าเขาหรือวนอุทยานแห่งชาติครับเพราะเนื่องจากว่าในระหว่างที่เราเดินทางไปพักนั้นเราเองก็สามารถชื่นชมธรรมชาติระหว่างทางได้และเมื่อเก็บกระเป๋าสัมภาระเรียบร้อยแล้วก็ค่อยออกเดินทางไปไหว้พระตามแหล่งต่างๆ เช่น วัดเครือวัลย์ วัดอ่างศิลา เขาสามมุกและค่อยมุ่งตรงไปยังชายหาดริมทะเลเพื่อเล่นน้ำและเมื่อถึงเวลาเย็นเวลาค่ำก็ค่อยไปเที่ยวไนท์บาร์ซาร์และค่อยเดินทางกลับที่พักเป็นอันจบการทัวร์
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับแนวคิดนี้หากทำตามที่ผมบอกแล้วล่ะก็เชื่อได้เลยครับว่าทุกคนสามารถท่องเที่ยวได้ทุกแหล่งที่ต้องการในระยะเวลาอันจำกัดอย่างแน่นอนแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแผนการที่ว่านี้มีข้อจำกัดคือเหมาะสำหรับผู้ที่มีรถยนต์ส่วนตัวเท่านั้นครับ หากเป็นนักท่องเที่ยวประเภท backpacker หรือนั่งรถทัวร์มาเที่ยวแล้ววิธีที่ว่านี้ไม่เหมาะเป็นอย่างยิ่งครับ

หากใครก็ตามที่มีโอกาสได้ชมข่าวต่างประเทศเมื่อหลายปีก่อนคงจะเคยได้ยินเรื่องของกรณีข้อพิพาทระหว่างประเทศมหาอำนาจสองประเทศที่ต้องการแย่งกันปกครองน่าน้ำบริเวณเกาะมัลดีฟส์จนถึงขนาดที่ว่ามีการนำเอาเรือรบมาจอดคอยท่าพร้อมปะทะกันเลยทีเดียว ซึ่งเหตุการณ์นี้เองส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่ไปทัวร์มัลดีฟส์นั้นลดลงอย่างน่าใจหายโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวจากทั้งสองประเทศที่แต่เดิมเคยมาทัวร์มัลดีฟส์ทุกปีๆ ละมากๆ ต่างก็ไม่มาทัวร์มัลดีฟส์เลยแม้แต่คนเดียวเพราะเนื่องจากว่าทางการของแต่ละประเทศเขาสั่งห้ามด้วยกลัวว่าจะมีการโดนจับเป็นตัวประกันนั่นเองครับ
แต่ในขณะที่สถานการณ์กำลังตึงเครียดอยู่นั้นเองก็ยังโชคดีที่มีองค์กรระดับประเทศได้เข้ามาระงับและไกล่เกลี่ยข้อพิพาทจนทำให้เรื่องที่หลายคนคาดการณ์ด้วยความกังวลว่าจะจบลงด้วยสงครามเป็นอันต้องจบสิ้นไปและท้ายที่สุดแล้วศาลโลกเองก็ได้มีคำตัดสินอย่างเป็นเอกฉันท์ว่ามัลดีฟส์นั้นไม่สามารถเป็นของประเทศใดประเทศหนึ่งได้เพราะมัลดีฟส์นั้นไม่ได้เมืองขึ้นของฝ่ายใดอีกทั้งมัลดีฟส์เองก็ยังได้รับการรับรองในแผนที่โลกจากประเทศต่างๆ ที่เป็นสมาชิกองค์การยูเนสโกในฐานะสาธารณรัฐมัลดีฟส์ดังนั้นมัลดีฟส์จึงมีสิทธิ์ในการปกครองตนเองเทียบเท่าประเทศๆ หนึ่ง ซึ่งนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่เคยเกิดเรื่องพิพาทกรณีแย่งดินแดนของมัลดีฟส์อีกเลยจนกระทั่งปัจจุบันครับ
ทั้งหมดที่เล่ามานี้ถือเป็นประวัติศาสตร์ของมัลดีฟส์อีกหน้าหนึ่งสำหรับผู้ที่สนใจในมัลดีฟส์ควรรู้ไว้เพราะเป็นเรื่องที่ได้รับการบันทึกไว้ให้เป็นหนึ่งในประวัติสาสตร์โลกครับ

ช่วงนี้ เวลานี้ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ล้วนแล้วมีคนบอกประกาศขายบ้านกันด้วยแทบทั้งสิ้นซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจไม่ดีหรือว่าเศรษฐกิจดีจนทำให้ที่ดินมีราคาสูงกันแน่แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตามทีผมเองก็สังเกตเห็นจุดๆ หนึ่งของผู้ที่คิดจะขายบ้านที่เหมือนกันก็คือ “ต้องการใช้เงิน”

การต้องการใช้เงินหรือมีความจำเป็นใช้เงินก้อนเป็นจุดประสงค์หลักที่ทำให้คนส่วนใหญ่คิดขายบ้านเพราะเนื่องจากว่าการขายบ้านแต่ละครั้งนั้นผู้ขายมักจะได้รับเงินก้อนใหญ่เพื่อใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆ เช่นใช้จ่ายหนี้หรือต่อยอดธุรกิจอีกทั้งยังพอมีเงินให้ผู้ขายเหลือใช้ทำกิจกรรมส่วนตัวอื่นๆ อีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตามการขายบ้านในสมัยนี้แม้ว่าจะได้ราคาที่สูงกว่าในสมัยก่อนแต่ก็ใช่ง่าจะสามารถขายกันได้ง่ายๆ นะครับซึ่งสาเหตุที่ส่วนใหญ่ที่ขายกันอยากนั้นก็เพราะว่าเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันทำให้เกิดการแข่งขันแย่งกันขายเพื่อต้องการใช้เงินสูงดังนั้นจึงทำให้เกิดการขายตัดราคากันขึ้นมาทำให้ราคาที่ควรจะขายได้แพงกลับต้องลดลงมาจนถึงขนาดว่าบางรายยอมกัดฟันขายขาดทุนเพื่อเงินก้อนเลยทีเดียวครับ
สำหรับแนวโน้มสถานการณ์ในการขายบ้านในช่วงนี้ผมเองมีข้อแนะนำคือหากยังพอมีสายป่านอยู่บ้างควรชะลอการขายบ้านเอาไว้ก่อนเพราะจากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญได้ระบุว่าภายในระยะเวลา 1-2 ปีนับจากนี้สภาพเศรษฐกิจของประเทศจะดีขึ้นซึ่งหากขายในตอนนั้นจะได้กำไรดีกว่าปัจจุบันครับ